วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบริหารรัฐกิจ (INTRODUCTION TO PUBLIC ADMINISTRATION)

วิชา บริหารรัฐกิจหรือรัฐประศาสนศาสตร์คืออะไร?


บริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์ ตรงกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Public Administration” ซึ่งเป็นสาขาวิชาหนึ่งในคณะรัฐศาสตร์ หรือ สังคมศาสตร์ของทุกสถาบัน โดยส่วนใหญ่แล้วบริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์ จะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการบริหารงานภาครัฐ หรือ ระบบราชการนั่นเอง รวมทั้งองค์กรของรัฐ เช่น รัฐวิสาหกิจ และองค์กรมหาชนต่างๆ และ มักเน้นเรื่องกรอบแนวความคิดด้านการบริหารองค์การและการจัดการ (Organization & Management) การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Management) การบริหารงานคลังและงบประมาณ (Fiscal Administration & Budgeting) การบัญชีรัฐบาล (Government Accounting) การวางแผนบริหาร (Administrative Planning) กฎหมายมหาชน (Public Laws) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานภาครัฐ (Public Information System) นโยบายสาธารณะ (Public Policy) การบริหารงานตำรวจ (Police Administration) และจิตวิทยาองค์การ (Organizational Psychology)

กระบวนการศึกษา วิชา บริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์

คุณสมบัติของผู้สนใจศึกษา การบริหารรัฐกิจ
1. ควรมีพื้นฐานความรู้และชอบศึกษาในกลุ่มสาระฯ วิชาสังคมศึกษา โดยเฉพาะสาระการเรียนรู้ด้านหน้าที่พลเมือง และกฎหมาย หรือ ความรู้ทั่วไปทางรัฐศาสตร์ นั่นเอง
2. สนใจและติดตามข่าวสารบ้านเมืองโดยเฉพาะข่าวการเมือง ข่าวเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ข่าวเศรษฐกิจการเมือง และนโยบายของรัฐบาล โดยสามารถวิเคราะห์วิจารณ์เหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างเป็นระบบและมีเหตุผล
3. ชอบและสนใจวิชาด้านการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ (Bureaucracy) เพื่อการพัฒนาประเทศ (Development Administration) โดยเฉพาะองค์กรที่มิได้มุ่งแสวงหากำไร (Non-Profit Organization) แต่อย่างไรก็ตาม ผู้สำเร็จการศึกษาสาขาวิชานี้สามารถนำความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือด้านการบริหารไปปรับใช้ในองค์กรธุรกิจที่แสวงหากำไรได้เช่นกัน
4. ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้สหวิทยาการ เนื่องจากสาขาวิชานี้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสาขาวิชาอื่นๆ มากมาย เช่น เศรษฐศาสตร์การเงิน-การคลัง การบัญชี การบริหารและการจัดการ กฎหมายปกครอง การพัฒนาสังคม การสื่อสารองค์กร จิตวิทยา และรัฐศาสตร์สาขาอื่นๆ
5.    ควรมีความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สถิติ และภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์ดี        
6.   ต้องมีอุดมการณ์ที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ของสาธารณชน โดยไม่ใช้กลไกของระบบราชการมากอบโกยผลประโยชน์เข้าพวกพ้อง และเข้าใจดีถึงทฤษฎีการพัฒนาประเทศ ความเสมอภาค และความยุติธรรมทางสังคม

แหล่งงานสำหรับบัณฑิตสาขาวิชาบริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์

1.  แหล่งงานภาครัฐ บัณฑิตสาขาวิชานี้สามารถทำงานด้านบริหาร นโยบาย และแผนงานได้ทุกหน่วยราชการ ทุกกระทรวง ทบวง กรม กอง เช่น ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน เจ้าหน้าที่ประสานงาน เจ้าหน้าที่บริหารงานบุคคล เลขานุการบริหาร นักวิชาการศึกษา ฯลฯ สำหรับผู้ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาต่างประเทศดีก็สามารถทำงานเป็นเจ้าหน้าที่วิเทศสัมพันธ์ หรือ นักการทูตได้ สำหรับในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และองค์กรมหาชนก็มีตำแหน่งคล้ายคลึงกับหน่วยงานราชการ
2.   แหล่งงานภาคเอกชน ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า บัณฑิตสาขาวิชานี้ได้เรียนรู้ความรู้ และเครื่องมือทางการบริหารงานมากกว่าสาขาอื่นๆ ของวิชารัฐศาสตร์จึงทำให้บัณฑิตสามารถนำความรู้เทคนิคด้านการบริหารจัดการไปใช้ในการทำงานภาคเอกชนได้ดีในการบริหารงานทุกระดับของบริษัท โดยเฉพาะบัณฑิตที่มีความรู้การคำนวณ และภาษาดี ขอบข่ายงานก็ยิ่งจะกว้างขวางมากขึ้น เช่น นักวิเคราะห์โครงการ นักวิเคราะห์การลงทุน นักวิเคราะห์ระบบงาน นักบริหารองค์การระดับสูงที่สามารถวิเคราะห์การบริหารเศรษฐกิจมหาภาคได้

การศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา

บัณฑิตสาขาวิชาบริหารรัฐกิจ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์ สามารถศึกษาต่อระดับปริญญาโท หรือ เอก ในกลุ่มสาขาสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ได้เกือบทุกสาขา เช่น บริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ปรัชญา ภาษาศาสตร์ จิตวิทยา นิเทศศาสตร์ ครุศาสตร์ และ รัฐศาสตร์ ทุกสาขาวิชาเอก เป็นต้น

บุคคลสำเร็จการศึกษาสาขาวิชาบริหารรัฐกิจและที่มีชื่อเสียงแห่งเมืองไทย
-                    พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (รป.บ. (ตำรวจ)
-                    กวาง (กมลชนก เขมะโยธิน)
-                    อู๋ (ธนากร โปษยานนท์)
-                    พี่กี้ (อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง)
-                    เม หรือ Mé (จีระนันท์ - RS)
-                    สว. ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช
-                    ดร.รุ่ง แก้วแดง (รมช.ศึกษาธิการ)
-                    คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน (ปลัดกรุงเทพมหานคร)
-                    นางจุฑามาศ ศิริวรรณ (ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
และ ผู้ว่าราชการจังหวัดอีกมากมายทั่วประเทศ

อ้างอิงข้อมูลจาก
http://51011312196-sakson.blogspot.com/2011/01/blog-post_7623.html

ขอบเขตของบริหารรัฐกิจ (Scope of public administration)

ขอบเขตของบริหารรัฐกิจ (Scope of public administration)
ขอบเขตของบริหารรัฐกิจนั้น หมายถึงการให้ความสนใจที่สำคัญของบริหารรัฐกิจในฐานะที่กิจกรรม (Activity) และในฐานะที่เป็นวิชาการ (discipline)
มุมมองดั้งเดิม (The traditional view)
นักวิชาการในยุคดั้งเดิมจำกัดขอบเขตของบริหารรัฐกิจอยู่กับฝ่ายบริหารเท่านั้น ในความหมายอย่างแคบนี้ บริหารรัฐกิจครอบคลุม“Primarily the organization, personnel, practices and procedures essential to effective performance of the civilian functions entrusted to the executive branch of government” ดังนั้น บริหารรัฐกิจไม่ได้มีบทบาทใดๆในการหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ มุมมองดังเดิมนี้มีการจำกัดอย่างมากในฐานะที่เป็นการอธิบายขอบเขตของบริหารรัฐกิจ
มุมมองสมัยใหม่ (The modern view)
นักวิชาการสมัยใหม่ได้ขยายขอบเขตของบริหารรัฐกิจไปสู่ทั้งสามฝ่ายของรัฐบาล ตามความคิดของนักวิชาการกลุ่มนี้ บริหารรัฐกิจ คือ รัฐบาลในภาคปฏิบัติทั้งหมด (whole government in action) พวกเขากล่าวว่า กิจกรรมต่าง ๆ ของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการส่งผลกระทบและกำหนดการปฏิบัติการของการบริหารรัฐกิจอย่างสำคัญ ในระบอบประชาธิปไตย นโยบายเชิงการบริหารที่สำคัญทั้งหมดนั้นออกมาจากฝ่ายนิติบัญญัติในรูปของกฎหมาย ฝ่ายนิติบัญญัติยังคงควบคุมเหนือฝ่ายบริการด้วยการมองว่านโยบายต่าง ๆ ถูกนำไปปฏิบัติตามที่มันตั้งเป้าหมายเอาไว้หรือไม่ ขณะที่ฝ่ายตุลาการมีอำนาจที่จะยับยั้งการกระทำที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมายและการกระทำที่เป็นไปตามอำเภอใจ ในการดำเนินการดังกล่าวนี้ ฝ่ายตุลาการจะกำหนดว่ารูปแบบอะไรของบริการสาธารณะที่สามารถถูกจัดหาภายใต้เงื่อนไขแบบไหน ดังนั้น F.A. Nigro และ L.G. Nigroได้มาถึงข้อสรุปที่ชัดเจนที่ว่า “ทั้งสามฝ่ายของรัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาและแนวปฏิบัติของบริหารรัฐกิจ” ซึ่งมุมมองนี้เป็นความเป็นจริงมากกว่า
1.            ขอบเขตของบริหารรัฐกิจในฐานะที่เป็นกิจกรรม (scope of public administration as an activity) บริหารรัฐกิจเป็นผู้รับใช้ของรัฐบาลในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ดังนั้น ในฐานะที่เป็นกิจกรรม ขอบเขตของบริหารรัฐกิจจึงไม่ได้น้อยไปกว่าขอบเขตกิจกรรมของรัฐ ในรัฐรัฐสวัสดิการสมัยใหม่ประชาชนคาดหวังสิ่งต่าง ๆ จำนวนมาก-บริการและการปกป้องที่หลากหลายจากรัฐบาล ผลก็คือ การบริหารรัฐของรัฐสวัสดิการจัดหาบริการทางด้านสวัสดิการและความมั่นคงทางสังคมจำนวนมากให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ การบริหารรัฐกิจยังต้องจัดการรัฐวิสาหกิจ (state-owned enterprise) การบริหารรัฐกิจในรัฐสวัสดิการเป็นกิจการที่ค่อนข้างซับซ้อน มันครอบคลุมพื้นที่และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ถูกบริหารโดยนโยบายสาธารณะ มันรวมถึงการปฏิบัติการทั้งหมดของรัฐบาลตั้งแต่การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ในอวกาศจนถึงการกวาดถนน จึงไม่เป็นที่สงสัยว่า การศึกษาของรัฐบาลเป็นอาหารหลัก (staple food) ของบริหารรัฐกิจ แต่บริหารรัฐกิจยังคงคอบคลุมการปฏิบัติการและกิจกรรมทั้งหมดของสถาบันต่าง ๆ ในภาคการผลิต (corporate sector) ที่รัฐบาลเป็นผู้ให้เงินสนับสนุน ความใหญ่โตของกิจกรรมของรัฐสวัสดิการสมัยใหม่หมายถึงกิจกรรมเชิงการบริหารที่หลีกเลี่ยงไม่ได้มากขึ้นหน่วยงานและเจ้าหน้าที่เชิงการบริหารมากขึ้น ดังนั้น ขอบเขตของบริหารรัฐกิจในฐานะที่เป็นกิจกรรมจึงกว้างขวางอย่างมากในรัฐสมัยใหม่
2.            ขอบเขตของบริหารรัฐกิจในฐานะที่เป็นวิชาการ (scope of public administration as a discipline) โดยการเป็นวิชาการแล้ว เราหมายถึงสาขาวิชาการของการศึกษา (subject of study) (เช่น รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์) ขอบเขตของบริหารรัฐกิจในฐานะที่เป็นวิชาการประกอบไปด้วยพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้
a.             กระบวนการของ POSDCoRB (the POSDCoRBprocess)หลักวิชาการของบริหารรัฐกิจให้ความสนใจกับกระบวนการของการบริหาร Luther Gulick ได้สร้างตัวย่อ POSDCoRBเพื่อที่จะสรุปกระบวนการการบริหารที่หลากหลายPOSDCoRB ประกอบไปด้วยตัวอักษรตัวแรกของหน้าที่การบริหาร 7 หน้าที่ คือ (1) Planning (2) Organizing (3) Staffing (4) Directing (5) Co-ordinating (6) Reporting และ (7) Budgeting โดย Gulick เชื่อว่า องค์ประกอบทางด้านหน้าที่การบริหารของการทำงานของหัวหน้าฝ่ายบริหารทั้ง 7 องค์ประกอบเหล่านี้ได้สร้างขอบเขตของบริหารรัฐกิจขึ้นมา
มุมมอง POSDCoRB ได้ความเป็นเอกภาพ ความแน่นอน และความสามารถในการจำกัดความแก่การศึกษาบริหารรัฐกิจ มันได้สร้างการศึกษาบริหารรัฐกิจให้มีความเป็นระบบมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เทคนิค POSDCoRB ไม่สามารถเป็นประเด็นเดี่ยวๆของบริหารรัฐกิจหรือแม้กระทั่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของมัน พวกเขาล้มเหลวในการให้ความรู้เกี่ยวกับสาขาของกิจกรรมเชิงการบริหารที่หลากหลายที่เทคนิคเหล่านี้จะถูกนำไปประยุกต์ใช้ ส่วนใหญ่ของการบริหารให้ความสนใจกับนโยบายและแผนงานต่าง ๆ แต่ POSDCoRB ไม่ได้บรรจุการอ้างอิงถึงการสร้างนโยบายหรือการนำนโยบายไปปฏิบัติ ด้วยเหตุผลนี้จึงให้ POSDCoRB ห่างไกลออกจากความจริง แม้ว่าPOSDCoRB จะเป็นการพัฒนาที่มีประโยชน์และมีความจำเป็นในทศวรรษที่ 30 แต่มันก็ได้รับการพิสูจน์แล้วประว่ามีข้อจำกัดอย่างมากในการอธิบายขอบเขตของสาขาที่มีความเป็นพลวัตรของบริหารรัฐกิจในปัจจุบันได้ครบถ้วน
b.            การพิจารณาในภาคส่วนที่สำคัญ (Substantive concerns) การบริหารรัฐกิจไม่ได้จัดการเฉพาะกระบวนการเท่านั้น แต่ยังจัดการกับประเด็นในภาคส่วนที่สำคัญของการบริหาร เช่น การป้องกันประเทศ การศึกษา สุขภาพ สวัสดิการและความมั่นคงของสังคม การเกษตร เป็นต้น ในพื้นที่ในภาคส่วนที่สำคัญของการบริหารนี้ เทคนิค POSDCoRB ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาสาขาในภาคส่วนที่สำคัญของการบริหารควบคู่ไปกับเทคนิคPOSDCoRB ดังนั้น การศึกษาบริหารรัฐกิจควรจะเกี่ยวข้องกับทั้งกระบวนการและการพิจารณาในภาคส่วนที่สำคัญ
c.             ทฤษฎีองค์การ (Organization theory) ขอบเขตการศึกษาทฤษฎีองค์การเกี่ยวข้องกับโครงสร้างที่เป็นทางการ (formal structure) การทำหน้าที่ภายในองค์การ (internal functioning)และผลการปฏิบัติงานขององค์การ (organization performance) สิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ (external environment) และพฤติกรรมของกลุ่มและปัจเจกบุคคลภายในองค์การ
d.            การบริหารงานบุคคลภาครัฐ (public personnel administration) ในประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับการวางแผนกำลังคน (manpower planning) การสร้างระบบการจำแนกตำแหน่ง (position-classification system) ครอบคลุมประเด็นสำคัญของการสรรหา (recruitment) การฝึกอบรม ขนาดของการจ่ายค่าตอบแทน (pay-scale) การเลื่อนตำแหน่ง (promotion) การเกษียณ (retirement) ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เป็นต้น ความมีประสิทธิภาพของการบริหารขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของบุคคลที่จ้างเข้ามาทำงาน
e.             การบริหารการคลังภาครัฐ (public finance administration) มันรวมการเตรียมกระบวนการ การประกาศใช้กฎหมาย การบริหารงบประมาณ การบัญชีและการตรวจสอบทางการเงินทั้งหมด เพรากิจกรรมทางด้านการบริหารทั้งหมดนั้นจะเกี่ยวข้องเงิน จำนวนของกิจกรรมทางการบริหารขึ้นอยู่ขนาดของเงินที่รัฐบาลสามารถหามาได้และการใช้จ่ายเงินเหล่านั้นอย่างเหมาะสม
f.               บริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ (comparative public administration) การศึกษาการบริหารข้ามชาติ และข้ามวัฒนธรรมได้สร้างพื้นที่ที่สำคัญของความเชี่ยวชาญพิเศษภายในหลักการของบริหารรัฐกิจ
g.            การบริหารการพัฒนา (development administration) เกี่ยวข้องกับการบริหารแผนและแผนงานด้านการพัฒนาที่ดำเนินการโดยประเทศกำลังพัฒนา ลักษณะสำคัญของการบริหารการพัฒนาคือการพัฒนาการบริหาร เช่น การปรับปรุงศักยภาพของการบริหารกิจกรรมด้านการพัฒนา
h.            สิ่งแวดล้อมการบริหาร (administrative ecology) มันเกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างการบริหารรัฐกิจและสภาพแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมสังคมของมัน เป็นสาขาที่เกิดขึ้นมาใหม่ของการศึกษาบริหารรัฐกิจ
i.                การวิเคราะห์นโยบาย (public policy analysis) สาขาย่อยของการบริหารรัฐกิจที่กำลังพัฒนาขึ้นมานี้ศึกษากระบวนการของการกำหนดนโยบายเนื้อหาของนโยบาย การนำนโยบายไปปฏิบัติ และผลลัพธ์นโยบาย
ขอบเขตของบริหารรัฐกิจครอบคลุมแต่ละประเด็นในฐานะที่เป็นวิธีการ (methods) และแนวทาง (approach) ต่อการศึกษาบริหารรัฐกิจ แนวคิดในการบริหาร (เช่น ลำดับชั้น เอกภาพของคำสั่ง ขอบข่ายการควบคุม) และความสามารถในการตรวจสอบได้ในการบริหาร

อ้างอิงข้อมูลจาก

https://www.gotoknow.org/posts/571497

ทฤษฎีแห่งการบริหารรัฐกิจ - พาราไดม์ (PARADIGM)

พาราไดม์ (PARADIGM)

พาราไดม์ที่ 1 การแยกการบริหารกับการเมืองออกจากกันเป็นสองส่วน (the politics / administration dichotomy ค.ศ1900-1926) เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาวิชาบริหารรัฐกิจ เป็นแนวความคิดแยกการบริหารกับการเมืองออกจากกันเป็นสองส่วน เป็นแนวคิดของนักรัฐศาสตร์
Wilson เป็นต้นกำเนิดแนวคิด “การแยกการบริหารกับการเมืองออกจากกันเป็นสองส่วน
Goodnow กล่าวว่า รัฐบาลมีหน้าที่แตกต่างกัน 2 ประการ
การเมือง เป็นเรื่องของการกำหนดนโยบาย  การแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐ
การบริหาร นำนโยบายต่าง ๆ เหล่านั้นไปปฏิบัติ
Leonard D. White ชี้ให้เห็นว่า การเมืองไม่ควรจะเข้ามาแทรกแซงการบริหาร
การศึกษาเรื่องการบริหารรัฐกิจควรจะเป็นการศึกษาในแบบวิทยาศาสตร์  ศึกษาจาก “ความจริง” ปลอดจาก “ค่านิยม” ส่วนการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการกำหนดนโยบายสาธารณะและปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของนักรัฐศาสตร์ การบริหารรัฐกิจถือเป็นสาขาหนึ่งของวิชารัฐศาสตร์
พาราไดม์ที่ 2 : หลักการบริหาร มองว่าการบริหารรัฐกิจ (the principle of administration ค.ศ 1927-1937) เป็นเรื่องของหลักต่าง ๆ ของการบริหารที่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ หน้าที่ของการบริหารคือ ประหยัด และ ประสิทธิภาพ แนวความคิดนี้มุ่งศึกษาก็คือ “ความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของการบริหาร
Gulick ได้เสนอหลักการบริหาร POSDCORB
Taylor แสงหาวิธีการทำงานที่ดีที่สุด one best way ให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและมีปริมาณสูงสุด โดยใช้ปัจจัยการผลิตน้อยที่สุด (เน้นเงิน เน้นงาน)
ต่อมาพาราไดม์นี้ได้รับการโจมตีจากนักวิชาการสมัยต่อมาว่า การเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้  และหลักการบริหารไม่สอดคล้องตามหลักของเหตุผล ไม่สามารถใช้ได้ในทางปฏิบัติ เป็นแค่ภาษิตการบริหารเท่านั้น
พาราไดม์ที่ 3 : การบริหารรัฐกิจคือรัฐศาสตร์ การบริหารเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง (public administration as political science ค.ศ.1950-1970) เกิดขึ้นจากการโต้แย้งพาราไดม์ที่ 1 กับ 2 
การบริหารไม่สามารถแยกออกจากการเมืองได้การบริหารต้องศึกษาไปพร้อมกับการเมือง หลักต่าง ๆ ของการบริหารมีข้อขัดแย้งกันเสมอ จึงไม่ใช่หลักการ ช่วงพาราไดม์ที่ 3 พยายามเชื่อมโยงความคิดระหว่างวิชาการบริหารรัฐกิจกับรัฐศาสตร์ขึ้นใหม่ แต่ผลที่เกิดกลับกลายเป็นทำให้ความเป็นสาขาวิชาห่างไกลกันออกไป มีการละเลยการบริหาร ทำให้บทความทางการบริหารน้อยลง ให้ส่งผลนักวิชาการรัฐกิจบางกลุ่มไม่พอใจ/น้อยใจในสถานภาพแบบนั้น รู้สึกเป็นพลเมืองชั้นสองในคณะรัฐศาสตร์ ทำให้เกิดพาราไดม์ที่ 4
Elton Mayo --  Human  Relation  (พฤติกรรมกลุ่ม)
Maslow  --  ลำดับขั้นความต้องการ
McGregor  --  ทฤษฎี  X  Y
Herberg  --  ทฤษฎีสองปัจจัย
พาราไดม์ที่ 4 : การบริหารรัฐกิจคือวิทยาการบริหาร (public administration administrative science ค.ศ. 1956-1970) เป็นการศึกษา 2 ส่วน คือ
-                   ทฤษฎีองค์การ  ศึกษาเกี่ยวกับองค์การคน เพื่อที่จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมองค์การได้ดีขึ้น
-                   วิทยาการจัดการ ศึกษาเกี่ยวกับเทคนิคเชิงปริมาณ คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ มาใช้ในการบริหารให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น  และเพื่อที่จะใช้วัดประสิทธิผลของการดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง
จุดอ่อนของพาราไดม์ที่ 4 นักวิชาการมองว่าไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของการบริหารรัฐกิจ เพราะเป็นการบริหารทั่วไปที่ใช้ได้ทั้งการบริหารรัฐกิจและธุรกิจ ในความเป็นจริงการบริหารรัฐกิจจะมีธรรมชาติที่แตกต่างอย่างสำคัญจากธุรกิจ เพราะฉะนั้นเกณฑ์การประเมินจะแตกต่างกัน เนื่องจากการบริหารรัฐกิจมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของประชาชน เป็นการเมืองสูง มีกฎระเบียบมาก เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบาย ในขณะที่ธุรกิจมุ่งเน้นกำไร
Herbert Simon เสนอแนวคิดของการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลภายใต้กรอบจำกัด (Bounded Rationality)
Barnard การบังคับบัญชาเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่อำนาจหน้าที่ที่แท้จริง ขึ้นอยู่กับการยินยอมของผู้รับคำสั่งจะยอมรับคำสั่งนั้น ๆ
พาราไดม์ที่ 5 : การบริหารรัฐกิจคือการบริหารรัฐกิจ (public administration as public administration ค.ศ. 1970) นำเอาความรู้ในวิชาการต่าง ๆ มาปรับใช้ร่วมกัน ในการบริหารงานของรัฐ เรียกว่า สหวิทยาการ มาใช้แก้ปัญหาของสังคม ความสัมพันธ์ทางการบริหารระหว่างรัฐกับเอกชน เป็นเขตแดนร่วมกันระหว่างเทคโนโลยีและสังคม สนใจมากขึ้นในเรื่องของนโยบาย เศรษฐศาสตร์การเมือง กระบวนการกำหนดและวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ การวัดผลของนโยบาย
อ้างอิงข้อมูลจาก

http://51011312196-sakson.blogspot.com/2011/01/blog-post_6129.html